เด็กมัธยมปลายจำนวนไม่น้อย ที่เลือกเรียนสายศิลป์เรียนภาษาฝรั่งเศส (รวมถึงสายศิลป์ภาษาอื่นๆด้วย) มักเป็นเด็กไม่เก่ง คะแนนไม่ถึง ไม่ชอบเลข (แต่ก็ใช่ว่าจะชอบภาษาอังกฤษ!) ก็เลยมาลงเรียนไปงั้นๆ หรือที่ชาวบ้านเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ไม่มีที่ไปแล้วครับพี่น้อง!!” ครูขอเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “ค่านิยมทางความคิดของสังคมไทย” ต่อไปนี้เราคงจะต้องเปลี่ยนความคิดซะใหม่แล้วนะ “เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน!!” การเรียนภาษาใด ภาษาหนึ่งโดยเฉพาะ เรียนภาษาฝรั่งเศส ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนการท่องสูตร ตีโจทย์แตก และนำไปประยุกษ์ใช้ หากแต่การ เรียนภาษาฝรั่งเศสที่ดีนั้น นอกจากจะเรียนตัวภาษาแล้ว ยังจะต้องเรียนรู้สังคม วัฒนธรรม และความคิดของคนฝรั่งเศสอีกด้วย การเรียนภาษา จึงไม่ใช่เป็นเพียงแค่ “การเรียน” แต่คือ “การเรียนรู้” ดังนั้น การเรียนฝรั่งเศสจึงเปรียบเสมือนการเปิดโลกทัศน์ทางความคิด เปิดใจผู้เรียนให้เข้าไปเรียนรู้สังคมและวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา อีกทั้งยังสอนให้เรารู้จัก การเปิดใจยอมรับสิ่งที่แตกต่างอีกด้วย เมื่อเราเรียนรู้ภาษา สังคม และวัฒนธรรมฝรั่งเศสแล้วรู้ไหมว่าอะไรจะตามมา….ความรัก ความหลงไหลในสังคมและวันธรรมนั่นเอง สิ่งเหล่านี้จะเป็นแรงผลักดัน ให้เราเรียนได้อย่างมีความสุข เพราะฉะนั้น สิ่งแรกเลยที่ผู้เรียนภาษาจะต้องมี อย่างขาดไม่ได้ก็คือ “ความรัก” รักในภาษาฝรั่งเศส ภาษาที่เค้าว่ากันว่าเป็น “ภาษาที่เพราะที่สุดในโลก
อีกหนึ่งความคิดที่พบเห็นบ่อย ในสังคมคือ “คนเรียนภาษาต้องเก่ง” ครูขอค้านความคิดนี้อย่างสิ้นเชิง และขอแทนที่ด้วยประโยคที่ว่า “คนเรียนภาษาต้องขยัน” ถูกต้องแล้ว อ่านไม่ผิดหรอก คนเรียนฝรั่งเศส สิ่งสำคัญอีกอย่างที่ต้องมีคือ “ความขยัน” ไม่ใช่เพียงแต่ขยันทบทวน ในสิ่งที่เรียนมา แต่ต้องขยันที่จะค้นขว้าหาความรู้ใหม่ๆอยู่เสมอ เพราะการเรียนภาษา คือการเรียนรู้ที่ไม่มีจุดสิ้นสุด เนื่องจากภาษา เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา วันนี้พูดอย่างหนึ่ง อีกวัน ก็มีคำใหม่เพิ่มขึ้นอีกละ ดังนั้นอาศัยแค่ในตำราเรียน คงไม่เพียงพอ